วัฒนธรรมวิถีชีวิตชาวนาอำเภอบางพลี
ณ ที่ว่าการอำเภอบางพลีร่วมจัดงานประเพณีรับบัว โดยร่วมสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมของชาวบางพลี ที่ลานวัฒนธรรมแสดง วิถีชีวิตชาวนาบางพลี วิถีชีวิตชาวมอญ และชาวลาว
วิถีชีวิตชาวนา
แสดงโดยนักเรียนโรงเรียนพูลเจริญวิทยาคมบางโฉลง
เมื่อหวนรำลึกถึงวิถีชีวิตในชุมชนบางพลีเมื่อครั้งอดีตกาล สิ่งแรกๆ ที่เรามักนึกถึง คือ “การทำนา “ทำให้ผมได้นึกย้อนกลับไปในสมัยที่ผมยังเด็กอยู่ ซึ่งผมเองก็ยังเกิดทันช่วงปลายของยุคที่ไถนาด้วยควาย การทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมของชาวบางพลีทั้งนี้เพราะ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์กว้างไพศาล และมีน้ำเพียงพอต่อการทำเกษตรกรรม จึงเอื้ออำนวยต่อการเป็นสังคมเกษตรกรรม “การทำนา “ จึงเป็นอาชีพหลักของคนภูมิภาคนี้ แม้ว่าในปัจจุบันสังคมบางพลีได้เปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญ ตามยุคสมัย กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม ส่งผลให้กิจกรรมหรือพิธีกรรมบางอย่างลบเลือนหายไป แต่ยังเป็นความทรงจำมิรู้ลืมที่เล่าสืบขานต่อกันมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
วิถีชีวิตชาวนาในชุมชนบางพลี
จะใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่ายเป็นสังคมชนบท มีความเอื้ออาทรต่อกันมาก เพราะมีกิจกรรมและวิถีการผลิตที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ต้องรวมกลุ่มกัน เช่นการเกี่ยวข้าว การหอบข้าว และการนวดข้าว ในสมัยนั้นเรียกว่า “ออกแขก”
ชาวนาต้องมี “กระท่อม” เรือนหลังคามุงจาก ฝาขัดแตะหลังเล็ก สำหรับครอบครัวแรกเริ่มที่มีรูปแบบเรียบง่าย สามารถสร้างให้เสร็จได้ภายในหนึ่งวัน โดยใช้ไม้ไผ่ที่มีอยู่ในท้องถิ่นและแรงงานจากชาวบ้านให้ความร่วมมือ ยกเรือนขึ้นสูงพอควร เพื่อเก็บอุปกรณ์ทำมาหากินและทำกิจกรรมไว้ใต้ถุนบ้าน การแบ่งส่วนเรือนแสดงให้เห็นถึงการขยายขนาดของครอบครัว และมีสมาชิกเป็นเด็กอ่อน
ส่วนเรือนสามช่วงเสาสองหลัง เชื่อมด้วยชานมีครัวไฟแยกต่างหากหลังคามุงจากและกระเบื้องสำหรับครอบครัวผู้มีฐานะ ในบริเวณเรือนมียุ้งเก็บข้าวเปลือกและอุปกรณ์การทำนาเมื่อเริ่ม หว่านข้าว ดำนา จะพบปลาอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในนาข้าว ดังนั้น ต้นกล้าและปลาจะเติบโตไปพร้อมๆกัน และปลาในลำคลองบางส่วนก็จะเข้ามาอาศัยในบ่อ ในสมัยนั้นทุกบ้านจะมีบ่อสำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
เมื่อมีความรู้สึกว่าปลาเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมาก จะนำเฝือกมาปิดปากบ่อไว้ เพื่อกันไม่ให้ปลาออกไปข้างนอก เมื่อน้ำในลำคลองลดระดับลง ชาวนาจะนำดินมาปิดกั้นปากบ่อ และถ้าต้องการนำปลามาเป็นอาหารหรือต้องการมีรายได้ ก็ตั้งรหัสวิดน้ำในบ่อนา และจับปลานานาชนิดที่รวมกันอยู่ในบ่อ เพื่อนำมาทำอาหารและตากแห้งเก็บไว้บริโภคในฤดูแล้ง และฤดูทำนาปีถัดไป ถ้ามีจำนวนมากก็อาจจะนำออกขายหรือแลกเป็นสิ่งของเครื่องใช้อย่างอื่นที่จำเป็น
โดยส่วนใหญ่แล้วชาวนาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเงียบในชนบท และมีความสุขกับการทำนา ที่จริงแล้วชาวบางพลีมีการทำเกษตรภายใต้พระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว ปลูกพืชผักครัวเรือนไว้หลังบ้าน ทำทุกอย่างให้มีกิน เหลือกินจึงค่อยแบ่งขาย ในสมัยนั้นชาวบางพลีทุกครัวเรือนใช้วิถีชีวิตอยู่กับน้ำ บ้านแต่ละหลังจะถูกยกให้สูงขึ้นจากพื้นดิน จึงเรียกว่า“เรือน” เพราะเวลาฤดูฝนน้ำจะท่วมทุกปี การสัญจรต้องใช้เรือพาย คนไทยให้ความสำคัญกับชาวนาเปรียบประหนึ่งว่า ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
เหลียวหลังแลบางพลีวิถีไทย
ทุ่งรวงทองอร่ามใสงามสมศรี
อีกทั้งพืชพรรณดาษดื่นชื่นฤดี
ปฐพีและธารน้ำอันอุดม
มองท้องนาคราฉ่ำฝนล้นปลาบปลื้ม
ใจด่ำดื่มข้าวเขียวสดดูเหมาะสม
สีอ่อนแก่แลริ้วริ้วพลิ้วพร่างพรม
งามวิไลน่าชมเกษตรกรรม
งานหว่านดำหลังสู้ฟ้าน่าพันผูก
นามกระดูกสันหลังชาติช่างคมขำ
อยู่กันอย่างเรียบง่ายควรจดจำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น